หลังจากจบการศึกษาทางด้านการแต่งหน้าละครเวทีจาก Emerson College บ็อบบี้ก็มุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์คเพื่อตามหาความฝันในฐานะเมคอัพอาร์ทติสมืออาชีพ
บ็อบบี้เริ่มแต่งหน้าให้กับนิตยสารชั้นนำอย่าง Glamour Magazine
บ็อบบี้ร่วมงานครั้งแรกกับนิตยสาร Vogue และช่างภาพชื่อดังอย่าง Patrick Demarchelier และนางแบบระดับโลกอย่าง Naomi Campbell
บ็อบบี้ร่วมงานกับนักเคมี และวางจำหน่ายลิปสติก 10 เฉดสีแรก
ภายใต้แบรนด์ Bobbi Brown Essentials บ็อบบี้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเธอในห้างสรรพสินค้า Bergdorf Goodman ในมหานครนิวยอร์ค และสามารถจำหน่ายลิปสติก 100 แท่งแรกหมดภายในวันเดียว จากที่คาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 1 เดือน
บ็อบบี้ปฏิวัติวงการด้วยการออกรองพื้น Foundation Stick ที่มีพื้นฐานเป็นโทนสีเหลือง
บ็อบบี้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อเตรียมผิวก่อนการแต่งหน้า และได้ขายกิจการให้กับอาณาจักรเครื่องสำอางอย่างบริษัท Estee Lauder
บ็อบบี้เปิดตัวเวปไซต์ bobbibrowncosmetics.com
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มแรก "Bobbi Brown Beauty" ซึ่งสามารถขายได้กว่า 100,000 เล่ม และขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สอง "Bobbi Bown Teenage Beauty" และได้ขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times อีกครั้ง
บ็อบบี้เฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปีเครื่องสำอาง Bobbi brown ด้วยการเปิดตัวโครงการ Dress for Success ซึ่งมีอายุโครงการถึง 1 ปี
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สาม "Bobbi Brown Beaury Evolustion" ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามที่หนังสือของเธอขึ้นแท่นหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่าย Shimmer Brick หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นประดุจลายเซ็นของเธอ และทุกวันนี้ในทุกๆ 1 นาที Shimmer Brick จะถูกจำหน่ายออก 1 ชิ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งบนโลก!
บ็อบบี้เปิดตัวสตูดิโอในมองแคลร์ ณ มลรัฐนิวเจอร์ซี่ ซึ่งถือเป็น Free Standing Store แห่งแรกของแบรนด์ ภายในมีทั้งห้องสำหรับการเทรน และมีสตูดิโอสำหรับการถ่ายภาพ และในปีเดียวกันนั้นเอง บ็อบบี้ยังได้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สี่ "Bobbi Brown Living Beauty" ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่หนังสือของเธอขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่ห้า "Bobbi Brown Makeup Manual" ซึ่งขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีแทบจะในทันทีที่เปิดตัว
บ็อบบี้ได้เข้าพบประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า และรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกจากนี้เธอยังได้แต่งหน้าให้กับ ด.ร.จิล ไบเดนอีกด้วย
เปิดตัว Pretty Powerful ซึ่งเป็นแคมเปญที่นำผู้หญิงหลากหลายสาขาอาชีพมาถ่ายรูป "ก่อนและหลังแต่งหน้า" และบ็อบบี้ยังได้รับเลือกจากประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ Advisory Committee for Trade Policy and Negotiations (ACTPN) นอกจากนี้ ในปีเดียวกันนั้นเอง บ็อบบี้ยังได้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่หก "Beauty Rules" เพื่อสอนให้วัยรุ่นสตรีได้เรียนรู้การแต่งหน้าตัวเอง เพื่อเสริมความมั่นใจอย่างสมช่วงวัย
Bobbi Brown ขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับ 1
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่เจ็ด "Pretty Powerful" และเครื่องสำอาง Bobbi Brown ยังได้ร่วมงานกับสถาบัน Broome Street Academy ในนิวยอร์คอีกด้วย
เครื่องสำอาง Bobbi Brown เปิดตัวกิจกรรมการกุศล Pretty Powerful Campaign เพือเด็กและสตรี
ด้วยการจับมือกับ Safilo บ็อบบี้วางจำหน่ายแว่นตา Bobbi Brown Eyewear ซึ่งมีทั้งแว่นกันแดดและแว่นสายตา นอกจากนี้ยังลงมือเขียนหนังสือเล่มที่ 8 "Everything Eyes" และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบรรณาธิการความงามของ Yahoo Beauty อีกด้วย
หลังจากจบการศึกษาทางด้านการแต่งหน้าละครเวทีจาก Emerson College บ็อบบี้ก็มุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์คเพื่อตามหาความฝันในฐานะเมคอัพอาร์ทติสมืออาชีพ
บ็อบบี้เริ่มแต่งหน้าให้กับนิตยสารชั้นนำอย่าง Glamour Magazine
บ็อบบี้ร่วมงานครั้งแรกกับนิตยสาร Vogue และช่างภาพชื่อดังอย่าง Patrick Demarchelier และนางแบบระดับโลกอย่าง Naomi Campbell
บ็อบบี้ร่วมงานกับนักเคมี และวางจำหน่ายลิปสติก 10 เฉดสีแรก
ภายใต้แบรนด์ Bobbi Brown Essentials บ็อบบี้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเธอในห้างสรรพสินค้า Bergdorf Goodman ในมหานครนิวยอร์ค และสามารถจำหน่ายลิปสติก 100 แท่งแรกหมดภายในวันเดียว จากที่คาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 1 เดือน
บ็อบบี้ปฏิวัติวงการด้วยการออกรองพื้น Foundation Stick ที่มีพื้นฐานเป็นโทนสีเหลือง
บ็อบบี้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อเตรียมผิวก่อนการแต่งหน้า และได้ขายกิจการให้กับอาณาจักรเครื่องสำอางอย่างบริษัท Estee Lauder
บ็อบบี้เปิดตัวเวปไซต์ bobbibrowncosmetics.com
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มแรก "Bobbi Brown Beauty" ซึ่งสามารถขายได้กว่า 100,000 เล่ม และขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สอง "Bobbi Bown Teenage Beauty" และได้ขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times อีกครั้ง
บ็อบบี้เฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปีเครื่องสำอาง Bobbi brown ด้วยการเปิดตัวโครงการ Dress for Success ซึ่งมีอายุโครงการถึง 1 ปี
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สาม "Bobbi Brown Beaury Evolustion" ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามที่หนังสือของเธอขึ้นแท่นหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่าย Shimmer Brick หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นประดุจลายเซ็นของเธอ และทุกวันนี้ในทุกๆ 1 นาที Shimmer Brick จะถูกจำหน่ายออก 1 ชิ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งบนโลก!
บ็อบบี้เปิดตัวสตูดิโอในมองแคลร์ ณ มลรัฐนิวเจอร์ซี่ ซึ่งถือเป็น Free Standing Store แห่งแรกของแบรนด์ ภายในมีทั้งห้องสำหรับการเทรน และมีสตูดิโอสำหรับการถ่ายภาพ และในปีเดียวกันนั้นเอง บ็อบบี้ยังได้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่สี่ "Bobbi Brown Living Beauty" ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่หนังสือของเธอขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีของ New York Times
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่ห้า "Bobbi Brown Makeup Manual" ซึ่งขึ้นทำเนียบหนังสือขายดีแทบจะในทันทีที่เปิดตัว
บ็อบบี้ได้เข้าพบประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า และรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกจากนี้เธอยังได้แต่งหน้าให้กับ ด.ร.จิล ไบเดนอีกด้วย
เปิดตัว Pretty Powerful ซึ่งเป็นแคมเปญที่นำผู้หญิงหลากหลายสาขาอาชีพมาถ่ายรูป "ก่อนและหลังแต่งหน้า" และบ็อบบี้ยังได้รับเลือกจากประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ Advisory Committee for Trade Policy and Negotiations (ACTPN) นอกจากนี้ ในปีเดียวกันนั้นเอง บ็อบบี้ยังได้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่หก "Beauty Rules" เพื่อสอนให้วัยรุ่นสตรีได้เรียนรู้การแต่งหน้าตัวเอง เพื่อเสริมความมั่นใจอย่างสมช่วงวัย
Bobbi Brown ขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับ 1
บ็อบบี้วางจำหน่ายหนังสือเล่มที่เจ็ด "Pretty Powerful" และเครื่องสำอาง Bobbi Brown ยังได้ร่วมงานกับสถาบัน Broome Street Academy ในนิวยอร์คอีกด้วย
เครื่องสำอาง Bobbi Brown เปิดตัวกิจกรรมการกุศล Pretty Powerful Campaign เพือเด็กและสตรี
ด้วยการจับมือกับ Safilo บ็อบบี้วางจำหน่ายแว่นตา Bobbi Brown Eyewear ซึ่งมีทั้งแว่นกันแดดและแว่นสายตา นอกจากนี้ยังลงมือเขียนหนังสือเล่มที่ 8 "Everything Eyes" และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบรรณาธิการความงามของ Yahoo Beauty อีกด้วย